บทบาทใหม่ “ธันวา สุริยจักร” และ “กรีน อัษฎาพร” ผู้บริหารสายหวาน ต่อยอดอาณาจักรแพนเค้ก GRAM
หล่อ แสนดีให้สาวๆ ใจละลายในจอแก้วไม่พอ ล่าสุด “ธันวา สุริยจักร” นักแสดงหนุ่มหล่อสัญชาติลาว พ่วงด้วยเชื้อสายไทย-เวียดนาม-จีน และฝรั่งเศส ที่กำลังมีผลงานให้สาวๆ กรี๊ดกันทั้งเมือง
ล่าสุด แบ่งคิวทองมาบุกเบิกธุรกิจใหม่ แตกไลน์สู่ร้านขนมหวานเป็นครั้งแรก ด้วยการทุ่มทุนขอซื้อแฟรนไชส์ร้านแพนเค้กชื่อดังจากญี่ปุ่น อย่าง GRAM จากครอบครัวใบหยก มาเสิร์ฟความอร่อยให้แฟนๆ ได้ฟินกันแบบถึงใจ ณ เซ็นทรัล ลาดพร้าว
“ผมชอบไปญี่ปุ่นมาก และก็รู้จักแบรนด์ GRAM เป็นอย่างดี ไปที่ไรเห็นคนต่อคิวยาวตลอด พอทางครอบครัวใบหยกนำเข้าแบรนด์ GRAM มา ก็ยังได้รับกระแสตอบรับดีจากแฟนๆ ชาวไทย ส่วนตัวผมไม่ใช่สายขนมหวาน
แต่ถ้าให้ลองหลับตาแล้วจินตนาการถึงแพนเค้กเกรดพรีเมียม ก็อดนึกถึง GRAM ไม่ได้ พอมีโอกาสได้คุยกับทางคุณเบียร์ (ปิยะเลิศ ใบหยก) และคุณบุ้ง (สะธี ใบหยก) ซึ่งเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ในไทย
ผมเลยตัดสินใจขอซื้อมาเปิดสาขา”ความโชคดีที่ธันวามองว่าเป็นแต้มต่อสำคัญ สำหรับการเริ่มธุรกิจใหม่คือ นอกจากจะได้แบรนด์ขนมที่มีชื่อเสียงฐานแฟนค่อนข้างแข็งแรงแล้ว ยังได้ทำเลที่ดีในเซ็นทรัล ลาดพร้าว ซึ่งลูกค้าแน่นตลอดไม่พอ ยังได้ทำเลตรงทางเชื่อมกับสถานีรถไฟฟ้าพอดี รับรองว่าใครมาก็ต้องเจอ GRAM แน่นอน
แม้จะได้แต้มต่อในแง่โลเกชั่นและแบรนด์ แถมยังมีโอกาสเก็บชั่วโมงบินจากการทำธุรกิจร้านอาหารมาพอสมควร เรียกว่าไม่ใช่มือใหม่หัดทำ แต่พอต้องมาลุยในธุรกิจขนมหวาน ซึ่งเจ้าตัวออกตัวไว้ก่อนเลยว่า ไม่ได้เป็นผู้ชายสายละมุนที่อินกับของหวานเบอร์นั้น
ผิดกับแฟนสาว (กรีน-อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล) อีกหนึ่งหุ้นส่วนของร้าน ที่ฟินกับขนมหวานตามสไตล์ผู้หญิงมากกว่า ดังนั้น พอมาเริ่มธุรกิจนี้จึงไม่ได้หวานหอมอย่างที่คิด“ยากนะ” ธันวาตอบรับอย่างไม่อิดออด “ผมเชื่อว่าทุกอาชีพมีความเป็นมืออาชีพในตัวเอง
ดังนั้น จากบทบาทนักแสดงเมื่อผมคิดจะหันมาทำธุรกิจ ไม่ง่ายเลย แต่การที่ผมได้มีโอกาสทำงานกับองค์กร หรือแบรนด์ที่มีระบบภายในแข็งแรง ชัดเจน ก็เป็นก้าวสำคัญให้ผมได้เรียนรู้ อย่าง การทำงานกับ GRAM เป็นแบรนด์ที่มีระบบแฟรนไชส์ที่รัดกุม
มีกฎที่ต้องทำตามไบเบิลของเขา เพื่อให้ได้มาตรฐาน สมมติเราทำแพนเค้กขึ้นมาแล้วไม่ได้ตามมาตรฐานของเขา ก็ต้องทิ้งเลย เพื่อไม่ให้เสียชื่อ ถ้าถามในมุมเจ้าของ แน่นอนว่าเราต้องยอมรับ
แต่ขณะเดียวกัน เราต้องพยายามบริหารจัดการตรงนี้ เพราะต้นทุนจากของเสียก็มีผลต่อกำไรหรือขาดทุนเช่นกัน” ธันวาเล่าพอเป็นน้ำจิ้ม ก่อนจะฉายภาพผู้บริหารให้เห็นว่า ไม่ได้สวยหรูเหมือนในละครอย่างออกรส
“พอมาทำงานตรงนี้ ถึงทำให้ผมยิ่งเข้าใจว่า เวลาเป็นนักแสดงเราได้สวมบทผู้บริหารก็จริง แต่ทั้งหมดมันเป็นแค่การแสดง อาศัยการแต่งตัวปรับลุคด้วยการใส่สูท ผูกไท วางมาดผู้บริหาร แต่ในชีวิตจริงไม่เหมือนกัน เพราะผู้บริหารจริงๆ ต้องดูแลภาพรวมทุกอย่าง คุมตัวเลข ต้องอ่านงบการเงินเป็น อะไรที่อาจจะไม่เคยรู้ ก็ต้องพยายามเรียนรู้ให้หมด”
อย่างไรก็ตาม แม้จะฟังเหมือนยาก แต่สำหรับหนุ่มที่พลังคิดบวกเหลือล้น แถมยังมีวิสัยทัศน์ ธันวาเล่าด้วยแววตามุ่งมั่นว่า ทั้งหมดทั้งมวล คือย่างก้าวที่ทำให้เติบโต “ผมรู้สึกว่ายิ่งได้ลองทำ ได้เรียนรู้ มันเหมือนเราได้ทำธุรกิจอย่างแท้จริงสักที
จากแต่ก่อนเราทำธุรกิจแบบหลวมๆ อยากเปิดสนามฟุตบอลก็เปิด ไม่ได้วางแผน ไม่มีเป้าหมายว่าจะทำยอดขายเท่าไหร่ แต่พอได้มาทำงานกับแบรนด์ที่เป็นระบบ ทำให้ได้เรียนรู้การทำงานกับแบรนด์จริงจัง เปรียบเหมือนได้เข้าไปเป็นพนักงานบริษัทใหญ่ๆ
ทุกวันนี้ ผมมองภาพตัวเองว่าเหมือนเป็นสตาร์ทอัปใหม่ ที่หากวันหนึ่งอยากเป็นมืออาชีพทางด้านนี้ ก็ต้องเรียนรู้ ทำซ้ำๆ จนกลายเป็นความชำนาญ”
หลังจากได้ฟังมุมมองความคิดของเขา ทำให้คิดได้ว่า มุมมองในการทำงานของเขาก็หล่อไม่แพ้กัน หลายคนอาจสงสัยว่า ก่อนที่หนุ่มหล่อคนนี้จะก้าวมาเป็นนักแสดงในที่คนไทยรู้จักกันดี เขาได้ผ่านบทบาทการแสดงมากมาย
แต่เขาเป็นใครมาจากไหนเริ่มจากประเด็นสัญชาติของนักแสดงหนุ่ม จริงๆ แล้วธันวามีคุณพ่อเชื้อสายไทย, จีนและฝรั่งเศส ส่วนคุณแม่มีเชื้อสายไทย, จีนและเวียดนาม แต่ครอบครัวมีธุรกิจในตัวเมืองปากเซ แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาวนั่นเอง หนุ่มธันวาจึงเว้าภาษาลาวได้ไม่มีปัญหา
ส่วนก้าวแรกในวงการบันเทิงบ้านเรานั้น เริ่มจากการชักจูงของ เอ-ศุภชัย ศรีวิจิตร ซึ่งตัวเขาเองสนใจสื่อโทรทัศน์ของไทย และต้องการเรียนและศึกษาวัฒนธรรมของไทยอยู่แล้ว จึงตกปากรับคำ ประเดิมงานแรกด้วยการเดินแบบตอนอายุ 18 ปี ได้เงินจากการทำงานประมาณ 10,000 บาท
จากนั้นก็เริ่มมีผลงานการแสดง และเริ่มเป็นที่รู้จักจากบทบาทการแสดงภาพยนตร์เรื่อง ฮักนะ’สารคาม และเลิฟซัมเมอร์ รักตะลอน ออนเดอะบีช ก่อนจะเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัดช่อง 7 มีผลงานการแสดงหลายต่อหลายเรื่อง เช่น อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว, คู่ปรับฉบับหัวใจ, หลงเงาจันทร์ ฯลฯ
ธันวาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ มหาวิทยาลัยรังสิต และยังเป็นคู่หูที่กอดคอกันเรียนมากับ ณเดชน์ คูกิมิยะ พระเอกหนุ่มชื่อดัง ไลฟ์สไตล์วันว่าง
นอกจากทำงานธันวาบอกว่าชอบเตะฟุตบอล จนนำมาสู่การทำธุรกิจ เช่นเดียวกับความรักในการทำอาหาร“ผมชอบทำอาหารนะ แต่จะว่าไปก็ไม่ได้เข้าครัวมานานแล้ว” ธันวาหัวเราะแบบเขินๆ “ส่วนใหญ่ก็ทำกินเองที่บ้านนั่นแหละ อาศัยว่าพอทำได้
ผมไม่เคยไปเรียนทำอาหารจริงจังก็จริง แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ ผมมีไอเดียว่าอยากเรียนทำอาหาร เพราะค่อนข้างสนใจธุรกิจนี้”ออกตัวมาแบบนี้ เลยถือโอกาสถามต่อไม่รอช้าว่า มีแผนว่าจะเปิดร้านอาหารหรือขยายสาขาร้านขนมเพิ่มเติม
เพื่อมาเสริมพอร์ตโฟลิโออีกหรือไม่ เจอคำถามนี้เข้าไป ทำเอาธันวาอมยิ้มก่อนเผยว่า คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต แต่ตอนนี้ก็ไม่หยุดที่จะมองหาโอกาสใหม่ๆ เสมอ
ได้เห็นแววตาที่จริงจังของเขาแล้วทำให้รู้ว่า เขาไม่ได้มาเล่นๆ ว่าแต่เขาไปได้แพสชั่นในการทำธุรกิจนี้จากที่ไหน ธันวาตอบทันทีว่า “ผมเป็นคนอ่านหนังสือเยอะมาก อ่านทุกวัน ผมชอบอ่านแนวธุรกิจ เลยเหมือนได้แรงบันดาลใจจากตรงนั้นมาโดยไม่รู้ตัว รู้แต่ว่าเราต้องลงทุน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องศึกษาอย่างดีก่อน” เส้นทางธุรกิจที่มีเป้าหมายอีกยาวไกล คงต้องให้ความพยายามและความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันไปสู่ความสำเร็จ แต่ข้อคิดที่ธันวาอยากฝากทิ้งท้ายไปถึงคนที่คิดจะเริ่มทำธุรกิจคือ การเป็นเจ้าของธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความยากที่เหนือกว่าคือ ทัศนคติที่มีเมื่อเจอปัญหา
“ผมให้ความสำคัญกับการมายด์เซ็ตเวลาเจอปัญหา ส่วนตัวผมมองว่าทุกปัญหาที่เข้ามามีไว้ให้แก้ ไม่ได้ผ่านเข้ามาเพื่อให้เราหงุดหงิด คนเราต้องแก้ปัญหาตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ปัญหาจะยากหรือไม่ อยู่ที่ทัศนคติที่คุณใช้บอกตัวเอง ถ้าบอกว่าง่ายแก้ได้มันก็ง่าย แต่ถ้าบอกว่ายากแก้ไม่ได้ มันก็ยากครับ” ธันวาทิ้งท้าย
ที่มา : today.line