X

หญิงสาววัย 26 ปี กับความฝันสร้างอาณาจักรแบรนด์หรู

“Amira Rasool” หญิงสาววัย 26 ปี ที่อยากสร้างอาณาจักรแบรนด์หรู แห่งแอฟริกา

Amira Rasool หญิงสาววัย 26 ปี ที่อยากสร้างอาณาจักรแบรนด์หรู หลาย ๆ ครั้งที่แรงบันดาลใจ ได้มาจากการเดินทางในกรณีของคุณ Amira Rasool ก็เช่น

กันโดยเธอเป็นหญิงสาว ซึ่งไปเรียนต่อที่ประเทศแอฟริกาใต้แต่สิ่งที่ได้กลับมา ไม่ได้มีแค่ความรู้ทางวิชาการเพราะเธอยังค้นพบว่า คนในพื้นที่กลับมีฝีมือในการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับอย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนเหล่านี้ยังขาด คือ ไม่มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ดีทำให้ไม่มีโอกาสเฉิดฉายในระดับนานาชาติ ทั้ง

ๆ ที่มีศักยภาพดังนั้นคุณ Rasool ที่มองเห็นโอกาสนี้ จึงตัดสินใจเปิดตัว The Folklore แพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าแฟชั่น จากเหล่าดีไซเนอร์ชาวแอฟริกาโดยล่าสุด The Folklore ก็สามารถระดมทุนไปได้ถึงเกือบ 60 ล้านเรื่องราวของคุณ Rasool และ The Folklore น่าสนใจอย่างไร ?

ขณะที่คุณ Rasool กำลังศึกษาในระดับปริญญาโท ด้านปรัชญาแอฟริกา ที่เคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ ทำให้เธอมีโอกาสท่องเที่ยวไปทั่วทั้งทวีปซึ่งนี่เอง ที่เป็นเหตุให้เธอได้พบเจอกับดีไซเนอร์ท้องถิ่นหลายคนและเริ่มสานความสัมพันธ์ เพื่อที่จะนำผลงานของคนเหล่านี้ ให้ไปปรากฏสู่สายตาชาวโลกในปี 2017 หลังจากที่คุณ

Rasool เดินทางกลับไปยังสหรัฐฯเธอก็ได้ลงมือในการทำให้ฝันเป็นจริงซึ่งแรก ๆ เธอใช้เงินลงทุนของตัวเอง แถมทำเองแทบทุกอย่าง เปิดเป็น The Folklore เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ขายสินค้าจากแอฟริกา โดยมีเพียงคุณแม่ ที่มาช่วยบรรจุและส่งสินค้าเมื่อกิจการเริ่มเติบโต จึงจ้างคนมาเติมเต็มในตำแหน่งต่าง ๆ เช่น ฝ่าย

การตลาด ฝ่ายจัดซื้อ ไปจนถึงฝ่ายผลิตคอนเทนต์ดิจิทัลโดยปัจจุบัน The Folklore มีดีไซเนอร์ที่เข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์ถึงระดับ 30 รายเลยทีเดียวรวมถึงเริ่มเป็นที่สนใจของสื่อแฟชั่นรายใหญ่ ๆ เช่น Elle, Footwear News และ Harper’s BazaarThe Folklore ใช้โมเดลธุรกิจแบบ Direct-to-

consumer หรือก็คือ การขายสินค้าโดยตรงให้กับลูกค้าแบบครบวงจร โดยไม่ผ่านตัวกลางโดย The Folklore เป็นเหมือนคนกลางที่เข้ามาช่วยแบรนด์ต่าง ๆ ให้มีหน้าร้านบนโลกออนไลน์ และช่วยส่งสินค้าไปให้ถึงมือลูกค้า โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวอเมริกัน และคนในทวีปยุโรปส่วนแบรนด์ที่เข้าร่วมกับ The Folklore ก็

จะมีทั้งสินค้าพรีเมียมแบรนด์ หรือสินค้าที่มีราคาสูงไปจนถึงสินค้าแบรนด์หรู อย่าง Viviers แบรนด์ที่เลือกนำเสนอเสื้อผ้าแบบจำนวนจำกัด และ Zashadu แบรนด์ที่ได้หยิบเอาการทำกระเป๋าหนังแบบดั้งเดิมของไนจีเรีย มานำเสนอในสไตล์โมเดิร์นอย่างไรก็ตาม ล่าสุดคุณ Rasool ยังได้เริ่มขยายโมเดลธุรกิจ สู่การเป็น B2B

หรือ Business-to-business ผ่านบริการชื่อ The Folklore Connectโดยให้ลูกค้าที่เป็นผู้ค้ารายย่อย ใช้ The Folklore Connect เป็นตัวกลาง เพื่อเข้าถึงแบรนด์จากแอฟริกาโดยตรงเนื่องจากอุปสรรคที่เธอพบในช่วงแรก ที่เริ่มก้าวเข้าสู่ธุรกิจนี้อย่างแรกคือ “ระบบการชำระเงิน” ในแต่ละประเทศของทวีป

แอฟริกามีความแตกต่างกัน จึงเกิดความยุ่งยาก แต่ด้วย The Folklore Connect ที่มีระบบการชำระเงินเป็นของตัวเอง จึงน่าจะช่วยให้การชำระเงิน เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นนอกจากนั้นยังมีเรื่องของ “การขนส่ง” ซึ่งจากเดิมคุณ Rasool ยังไม่มีข้อตกลงกับบริษัทขนส่ง ทำให้ค่าขนส่งข้ามทวีปจึงสูงมากดังนั้น คุณ Rasool

จึงร่วมหารือกับเหล่าดีไซเนอร์ และไปเป็นพาร์ตเนอร์กับบริษัทขนส่ง เพื่อให้ต้นทุนในการขนส่งลดลงซึ่งปัจจุบัน The Folklore Connect ก็มีร้านค้าปลีกในสหรัฐฯ ประมาณ 15 รายแล้ว ที่สนใจจะนำสินค้าจากแอฟริกาไปจำหน่ายโดยรายได้ของ The Folklore Connect จะแบ่งออกเป็นกรณีร้านค้าปลีก ที่เป็นสมาชิกแบบฟรี

The Folklore จะคิดค่าคอมมิชชันจากยอดคำสั่งซื้อแต่ในกรณีที่จ่ายค่าสมาชิกรายปี ร้านค้าปลีกก็จะจ่ายค่าคอมมิชชันลดลง รวมถึงจะสามารถเข้าถึงข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า จากฝั่ง Direct-to-consumer ได้ด้วยส่วนในฝั่งของแบรนด์และดีไซเนอร์จากแอฟริกา จะไม่มีค่าแรกเข้าแต่จะมีทีมงานจาก The Folklore เข้าไป

ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเช่น การขนส่ง, การอำนวยความสะดวกด้านการผลิต ไปจนถึงการนำเสนอสินค้าซึ่งการปรับตัวนี้ ก็น่าจะทำให้ The

Folklore เติบโตได้เร็วยิ่งขึ้นทั้งในฝั่งการเข้าถึงลูกค้า รวมถึงมีแหล่งวัตถุดิบที่มั่นคงและล่าสุด The Folklore ก็สามารถระดมทุนได้ถึง 57 ล้านบาทโดยมีบริษัท

ร่วมทุน อย่าง Slauson & Co. และ Techstars Seattle Accelerator เป็นผู้นำในการระดมทุนครั้งนี้ส่วนเงินระดมทุนครั้งนี้ จะถูกนำมาใช้ในการรองรับการเติบโตของธุรกิจ ที่กำลังค่อย ๆ เติบโตมากขึ้นซึ่งความฝันสูงสุดของคุณ Rasool คือการเป็นให้ได้แบบ LVMHบริษัทจากฝรั่งเศส ที่เป็นเจ้าของแบรนด์หรูทั่วโลก

กว่า 75 แบรนด์ซึ่งถึงแม้ The Folklore จะไม่ได้เป็นเจ้าของแบรนด์เหล่านี้โดยตรงแต่บางครั้งการสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งก็อาจเทียบได้กับ การมีอาณาจักรที่มั่นคง เช่นกัน..