BAGGU ถุงช็อปปิงรักษ์โลก ทำอย่างไรให้ขา ย มาได้กว่า 14 ปี
ปีนี้นับว่าเป็นปีแรกที่ประเทศไทยออกก ฎ ให้ ห้างสร ร พ สิน ค้าและร้านค้า ง ด แ จ ก ถุงพลาสติก ทำให้พวกเราหลาย ๆ คนต้อง ป รั บ ตัว หันมาพ ก กระเป๋าช็อปปิง และถุงผ้ากันมากขึ้น ทำให้ตอนนี้กระเป๋าช็อปปิง และถุงผ้า ก ล าย เป็นหนึ่งในไอเทมที่คนหันมาซื้อพ กติดตัวกัน
และสำหรับสาว ๆ ที่ชื่นชอบแฟชั่น การจะหากระเป๋าที่มี ล ว ด ล าย เข้ากับตัวเองนั้น อาจไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งปัญหานี้ก็ไม่ใช่กับแค่คนไทยเท่านั้น แต่ในต่างประเทศเองก็เช่นกัน และจากปั ญ ห า นี้เอง ก็ก่อให้เกิดเป็นแบรนด์ที่มีชื่อว่า BAGGU แบรนด์ถุงผ้า สำหรับพกไปช็อปปิงสัญชาติอเมริกัน ที่มีมาตั้งแต่ปี 2007
ที่น่าแ ป ล ก คือ ในช่วงปีนั้น พวกเราหลายคนยังไม่ได้เริ่มหันมาสนใจ การใช้ถุงช็อปปิงลักษณะนี้เลยด้วยซ้ำ หรือก็เป็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ที่สนใจเรื่องนี้ แล้วแบรนด์ BAGGU มองเห็นอะไรจึงหันมาทำธุ ร กิ จ นี้ ?
BAGGU มีจุดเริ่มต้นมาจากคุณ Emily Sugihara และคุณแม่ โดยหลังจากที่คุณ Emily เรียนจบจากมหาวิทยาลัย เธอก็ได้เริ่มทำงานใน ฐ า น ะ นักออกแบบด้านแฟชั่น ซึ่งเป็นงานที่เธอชื่นชอบ เนื่องจากเธอจะได้ป ล ด ป ล่ อ ย ความคิดสร้างสรรค์ของเธอได้อย่างเต็มที่
แต่เมื่อเริ่มงานไปได้สักพัก เธอกลับพบว่างานดีไซน์ต่าง ๆ นั้นต้องผ่านลูกค้ามากมาย จนทำให้บางครั้งเธอก็ไม่ได้ป ล ด ป ล่ อ ย ไอเดียได้เต็มที่อย่างที่เธอเคยคิดไว้ ประจวบเหมาะกับในตอนนั้น เธอและคุณแม่ก็กำลังมองหากระเป๋าสำหรับช็อปปิง
ที่มีดีไซน์เก๋ ๆ และแข็งแรงสักใบมาใช้ แต่ก็ไม่เจอแบบที่ถูกใจสักที เนื่องจากในสมัยนั้น ยังเป็นช่วงที่ผู้คนยังใช้ถุงพลาสติกกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ในตอนนั้นยังไม่ค่อยมีแบรนด์กระเป๋าช็อปปิงให้เลือกมากนัก คุณ Emily จึงคิดว่า มันอาจจะเป็นโอกาสดีที่จะได้ออกมาทำแบรนด์ของตัวเอง
ซึ่งไม่เพียงแค่สนองความต้องการในด้านการใช้งาน แต่รวมถึงด้านการป ล ด ป ล่ อ ย ความคิดสร้างสรรค์ด้วย ทำให้เธอ ตั ด สิ น ใ จ ล า ออกจากบริษัทที่ทำอยู่และออกมาทำแบรนด์ BAGGU ที่เปิดตัวในปี 2007 แล้วกระเป๋าช็อปปิงของ BAGGU แตกต่างจากแบรนด์อื่นอย่างไร ?
กระเป๋าของ BAGGU ใช้เทคนิคการถักแบบ Ripstop แปล ต ร ง ตัวว่า หยุดการฉีก ซึ่งเป็นวิธีการถักเส้นใยแบบที่นิยมใช้ในการเย็ บชุดท ห า ร หรือเต็นท์สำหรับแคมปิง ส่วนเส้นใยที่ BAGGU ใช้ก็เป็นเส้นใยผ้าไนลอนจากธรรมชาติ ทำให้ได้กระเป๋าช็อปปิงที่แ ข็ ง แ ร ง น้ำหนักเบา รวมถึงเป็นวัสดุที่สามารถนำมารีไซเคิลได้อีกด้วย ต่างจากกระเป๋าช็อปปิงแบรนด์อื่น ๆ ในยุคนั้นที่มีลายเรียบ ๆ และใช้เส้นใยสังเคราะห์ในการผลิต
ใช้การ ตั ด เย็ บ แบบธรรมดา ทำให้เมื่อใส่ของที่มีน้ำหนักมาก ๆ ถุงก็มีโอกาสที่จะข า ด ได้ ทำให้เมื่อกระเป๋าของ BAGGU เปิดตัว ก็เริ่มกลายเป็นที่นิยมและได้รับความสนใจแทบจะทันที ซึ่งก็ทำให้เราสรุปได้ว่า การที่ BAGGU ประสบความสำเร็จ
ตั้งแต่ในยุคที่คนส่วนใหญ่ ยังใช้ถุงพลาสติกอยู่ คือ การเป็นแบรนด์แรก ๆ ในยุคนั้น ที่ให้ความสำคัญในเรื่องความแ ข็ ง แ ร ง และรักษ์โลก เพราะหากย้อนกลับไปในช่วงยุคปี 2000 ต้น ๆ นั้นยังเป็นช่วงที่หลาย ๆ ประเทศ ยังคงนิยมใช้ถุงพลาสติกกันอยู่ ทำให้กลุ่มคนที่ต ร ะ ห นั ก เรื่องสิ่งแวดล้อมยังมีตัวเลือกที่น้อย
และเมื่อ BAGGU เกิดขึ้น ซึ่งไม่ได้เพียงแค่เข้ามาช่วยตอบโจทย์ในเรื่องการใช้งาน แต่ยังรวมถึงใส่ใจไปถึงขั้นตอนการผลิตที่ช่วยล ด การเกิดขยะ และการเลือกใช้วัสดุที่รีไซเคิลได้ ทำให้สามารถตอบโจทย์คนที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมได้อย่างค ร บ ว งจ ร
เรื่องต่อมาก็คือดีไซน์ที่โ ด ด เ ด่ น น่า พ ก พา เชื่อว่าสาว ๆ หรือแม้แต่หนุ่ม ๆ หลายคนก็คงจะเคยได้รับถุงผ้าฟรีมาเป็นของแถมอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็วางทิ้งไว้ที่บ้านและไม่ได้ ห ยิ บ มาใช้ ซึ่งเ ห ตุ ผ ล ของคนส่วนใหญ่ก็คงเป็นเรื่องดีไซน์ เพราะเมื่อดีไซน์ไม่สวย และไม่บ่ ง บ อ ก ความเป็นเรา ก็คงทำให้เราไม่อยากถือสักเท่าไร
BAGGU จึงสามารถเข้ามาแ ก้ ปั ญ ห า ตรงส่วนนี้ได้อย่างดี จากดีไซน์ที่มีให้เลือกมากมาย รวมถึงการไปเลือกคอลลาบอเรชันกับศิลปินหรือตัวละครจากการ์ตูนดัง ๆ เช่น ซิมป์สันส์ และอีกส่วนหนึ่งที่เป็นที่พูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์เมื่อพูดถึงข้อดีของ BAGGU คือ ขนาดของกระเป๋าที่มีให้เลือกหลายขนาด และถึงจะเป็นกระเป๋าขนาดไม่ใหญ่
แต่ด้วยความทนทานของ BAGGU ก็ทำให้สามารถจุของได้เยอะ โดยที่ไม่ต้องกลัวขาดเลย ซึ่งในปัจจุบัน BAGGU ก็ไม่ได้ ห ยุ ด แค่การผลิตกระเป๋าช็อปปิงเท่านั้น แต่ยังมีการผลิตสินค้าแฟชั่นอื่น ๆ เช่น หมวก ยาง รั ดผม หน้ากากอนามัย และผ้าห่อกล่องต่าง ๆ
ที่สามารถนำมาใช้ให้เข้าชุดกันได้อีกด้วย และการต่อยอดจากสินค้าเดิมของ BAGGU ก็ช่วยให้แบรนด์สามารถขยายกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น จนเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้ BAGGU สามารถดำเนินการข า ย มาได้กว่า 14 ปี
ปัจจุบัน BAGGU ใช้วิธีการ ข า ย สินค้าแบบ D2C หรือการ ข า ย ให้กับลูกค้าผ่านทางเว็บไซต์ของตัวเอง และยังมีหน้าร้านอีก 2 แห่งในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ลูกค้าเข้าไปรับชมสินค้าได้ รวมถึงจากที่เป็นแบรนด์ ธุ ร กิ จ เล็ก ๆ ที่ ช่ ว ย กันทำกับคุณแม่ในโรงรถที่บ้าน ก็ข ยั บ ข ย า ย จนมีพนักงานมา ช่ ว ย งาน และย้ายมาทำงานในโรงงานแทน
จากความสำเร็จของ BAGGU นั้นก็คงทำให้เรารู้ว่าการที่ ธุ ร กิ จ จะสำเร็จได้ ไม่ใช่แค่การทำสินค้าให้ดีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องรู้จักมองตลาดให้ออกว่าลูกค้าต้องการอะไร และที่สำคัญคือ ไม่ยึดติดกับสินค้าเพียงประเภทเดียวที่เรามองว่าข า ยดีแล้ว
เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นสินค้าคนละประเภทกัน แต่หากเรามองเห็นโอกาส เหมือนที่ BAGGU ทำให้สินค้าแต่ละชิ้นสามารถเข้าเซตกันได้ จากสินค้าเดิมที่ทำดีอยู่แล้ว ก็สามารถทำให้แบรนด์ยังคงสามารถดำเนินงานอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน..