ดีไซเนอร์หนุ่มผู้เริ่มต้นก่อตั้งแบรนด์ Jacquemus ด้วยวัยเพียง 19 ปี
ดีไซเนอร์หนุ่มจากมาร์กเซย เมืองทางตอนใต้ของฝรั่งเศสชื่อ ซิมง ปอร์ต ฌักมูส (Simon Porte Jacquemus) เขาได้นำเสนอคอลเล็กชัน Fall/Winter 2015 ในคอนเซปต์ L’Enfant du Soleil ที่แปลตรงตัวได้ว่า ‘ลู กของพระอาทิตย์’ ภายใต้แบรนด์ของตัวเองชื่อ Jacquemus
โดยซิมงได้ส่งคอลเล็กชันนี้เข้าประกวดการแข่งขัน LVMH Prize ก่อนที่จะคว้าร า ง วั ลพิเศษกลับบ้าน (ปีนั้นแบรนด์ Marques’Almeida ชนะ) แต่ใครจะไปรู้ว่าสองปีต่อมา ซิมงจะกลายมาเป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ที่เนื้อหอมที่สุดในขณะนี้ของวงการแฟชั่นที่เซเลนา โกเมซ เลือกใส่ชุดเดรสบนพรมแดง, ลอร์ดใส่หมวกปีกกว้างสุดฮิตในมิวสิกวิดีโอ และแอนนา วินทัวร์ เพิ่งชวนให้ไปพูดในงาน Forces of Fashion ของนิตยสาร Vogue ที่นิวยอร์ก ซึ่งทั้งหมดนี้ ซิมงมีอายุแค่ 27 ปี!
หลังจากแม่ผู้เป็นแรงบันดาลใจและผู้ผลักดันความฝันในการเป็นดีไซเนอร์ของเขาถึงแ ก่ ก ร ร ม ซิมงได้ก่อตั้งแบรนด์ Jacquemus ด้วยวัยเพียง 19 ปี โดยนำชื่อของเธอมาเป็นชื่อแบรนด์ ซิมงต้องการถ่ายทอดเรื่องราวของเขากับแม่ รวมถึงวิถีชีวิตของคนฝรั่งเศสตอนใต้ ซิมงบอกว่าผลงานของเขาเหมือนกับการเล่าเรื่องมากกว่าเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับชี วิตของเขา แรกๆ ผลงานของซิมงมีความเป็นสปอร์ตอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะหยิบเอาแรงบันดาลใจรอบๆ
ตัวในเมืองใหญ่อย่างปารีสมาตีความใหม่ และเขาได้ย้อนกลับไปบ้านเกิดที่เมืองมาร์กเซย และนำเอาสิ่งที่ได้พบทั้งหมดมาสร้างคอลเล็กชันจนกลายมาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จากนั้นกระแสความนิยมของซิมงเองก็ทวีคูณขึ้นด้วยรูปลักษณ์หน้าตาของเขาที่เห็นประจำผ่านอินสตาแกรม @jacquemus
‘It-Bag’ ที่เป็นก ร ะ แ สร้ อ นแ ร งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจนถึงช่วงเวลา นี้คงหนีไม่พ้นกระเป๋าใบจิ๋วที่มีสัดส่วนเพียง 12×9 ซม. เท่านั้น แม้ใส่ได้เพียงของกระจุกกระจิกอย่างบัตรเครดิต ลิปสติก หรือกุญแจ ทว่าร า ค านั้นสูงถึง 486 ด อ ล ล า ร์ ส ห รั ฐฯเลยทีเดียว เจ้ากระเป๋าที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้มีชื่อว่า ‘Le Chiquito’ ที่ฮ อ ตฮิ ตขนาดว่าข า ยหมดในทันทีที่วางจำหน่ายทั้งทางออนไลน์และในสโตร์
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะมันเป็นกระเป๋าที่เหล่าแฟชั่นอินฟลูเอนเซอร์ในเมืองใหญ่ถือให้เห็นตลอดช่วงแฟชั่นวีคที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าร าค าระดับนี้ทำให้คุณเป็นเจ้าของกระเป๋าไซซ์ใหญ่จาก Victoria Beckham หรือ Acne Studios ได้ แต่ทำไมหลายคนจึงอยากเป็นเจ้าของทั้งๆที่แทบจะใส่อะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ? นี่แหละคือความมหัศจรรย์ในการออกแบบของ ‘Simon Porte Jacquemus’
ช่วงวัยเยาว์ซิมงมีความฝันอยากเข้าเรียนต่อที่ Supérieure des Arts et Techniques de la Mode (ESMOD) เขาจึงตัดสินใจเดินทางสู่เมืองหลวงด้วยความมุ่งมั่นที่จะศึกษาต่อที่สถาบันด้านแฟชั่นระดับโลกแห่งนี้ และแน่นอนว่าซิมงได้เข้าศึกษาต่อที่ ESMOD ตามที่ต้องการแม้ว่าพ่อแม่ของเขาจำเป็นต้องข า ยรถเพื่อส่งให้เขาได้ทำตามฝัน
ซิมงเคยบอกว่าพร้อมที่จะปิดแบรนด์ได้ทุกเมื่อและกลับไปเป็นเกษตรกรเหมือนเช่นคุณพ่อ แต่แล้วชี วิตการผจญภัยในเมืองหลวงแห่งแฟชั่นก็ดันมาพบกับจุดหักเหเนื่องด้วยการจากไปอย่างกะทันหันของมารดาผู้เป็นที่รัก และเพื่อเป็นเกียรติแก่บุ พ ก า รีเขาจึงใช้นามสกุลของคุณแม่ในการตั้งชื่อแบรนด์ ซิมงเริ่มต้นการทำงานภายใต้ชื่อของเขาเองในปี ค.ศ. 2009 ก่อนจะมาเริ่มทำงานกับ Comme des Garçons ในปี ค.ศ. 2011
ด้วยการสนับสนุนด้านการเ งิ นจาก Rei Kawakubo และ Adrian Joffe หากแต่ผลงานของเขาในช่วงเวลา นั้นต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง เพราะแรกเริ่มซิมงนำความสำเร็จของดีไซเนอร์ระดับแถวหน้าของวงการอย่าง Martin Margiela และ Rei Kawakubo มาเป็นแรงบันดาลใจ ทั้งการรื้อโครงสร้าง งานตั ดต่ อ
หรือแม้แต่การปิดหน้านางแบบคือเทคนิคเด่นที่เขานำมาใช้ แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าตัวได้เรียนรู้นั่นก็คือ หากเขาเดินตามรอยเท้าผู้อื่นแล้วผลงานของเขาจะข า ยไม่ได้เลยถ้าไม่ได้ติดป้าย Maison Margiela หรือ Commes des Garçons
พรสวรรค์ของเขาไม่ได้ถูกพูดถึงสักเท่าไร จนกระทั่งปี ค.ศ. 2015 แบรนด์ Jacquemus ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอันทรงเกียรติสำหรับนักออกแบบรุ่นใหม่จากเวที LVMH Prize และทำให้เขาได้รับเ งิ นร า ง วั ล 150,000 ยู โ ร หรือราว 6 ล้ า นบ า ทสำหรับนำไปพัฒนาแบรนด์ และยังได้รับการดูแลจากผู้ทรงคุณวุฒิในเครือ LVMH จากนั้นมาหน้าประวัติศาสตร์ของซิมงก็เปลี่ยนไปตลอดกาล
ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่เขาจะได้สร้างรอยเท้าใหม่บนถนนสายแฟชั่นแห่งนี้ พร้อมกับนำความงดงามจากดินแดนทางตอนใต้ของฝรั่งเศสมาสู่เมืองหลวงด้วยสุนทรียภาพที่ดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป คอลเล็กชั่นฟอล/วินเทอร์ 2017 เป็นผลงานที่พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเขาแสดงถึงความวาไรตี้ของสูท (เจ้าตัวยังบอกด้วยว่านี่คือการออกแบบที่โปรดปราน) ที่มาพร้อมโครงไหล่ที่มีขนาดใหญ่เกินจริง กางเกงขากว้าง หมวกใบเก๋ ทั้งหมดให้กลิ่นอายแบบยุค ’60s
รวมทั้งสถานที่ที่เลือกสำหรับแสดงผลงานก็เป็นฮอลล์เดียวกับที่ John Galliano เคยใช้จัดโชว์สำหรับ Dior การพัฒนามีอย่างต่อเนื่องนำไปสู่ผลลัพธ์ที่กลายเป็นคอลเล็กชั่นสปริง/ซัมเมอร์ 2018 ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มที่ชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงสู่แบรนด์ Jacquemus ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน