Studio Ghibliหลักไมล์ของวงการอนิเมชั่นญี่ปุ่น
หากพูดถึงงานอนิเมชั่นแบบภาพยนตร์ของญี่ปุ่น Studio Ghibli ก็คงจะโผล่ขึ้นมาเป็นเจ้าแรกในความคิดของชาวต่างชาติส่วนใหญ่ เพราะตลอดเวลาสามสิบปีที่ผ่านมา Studio Ghibli ได้สร้างผลงานอนิเมชั่นที่โดดเด่นมากมายหลายต่อหลายเรื่อง ได้ทั้งเ-งิ-นได้ทั้งรางวัลไปมากมาย และกลายเป็นหลักไมล์ของวงการอนิเมชั่นญี่ปุ่น
เป็นยักษ์ใหญ่ที่ทุกคนให้การเคารพมาโดยตลอดเพราะตัวผลงานของพวกเขาพิสูจน์ตัวเองให้เราได้เห็นอยู่เสมอ ตั้งแต่ผลงานน่ารักจับใจอย่าง My Neighbor Totoro ที่ชาวญี่ปุ่นต่างรักในความน่ารักของตัวโทโทโร่และสนใจในพัฒนาการของสองพี่น้องในเรื่อง ซึ่งต่อมาได้มีการจำลองบ้านของสองพี่น้องไว้ที่งาน Expo จังหวัดไอจิ เมื่อปี 2005
หลังจาก My Neighbor Totoro ทางสตูดิโอก็ยังมีงานระดับขึ้นหิ้งอีกหลายต่อหลายชิ้น เช่น Grave of the Fireflies หรือ สุสานหิงห้อย ที่ฉายในปีเดียวกัน เป็นเรื่องเศร้าของสองพี่น้องที่รอดจากสงครามและกลายมาเป็นเด็กที่ต้องระหกระเหินใช้ชีวิตเร่ร่อน จะว่าไปเรื่องนี้ก็เป็นสื่อบันเทิงเรื่องแรกๆ ที่กล่าวถึงเด็กกำพร้าจากสงครามที่ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเหมาะสม
ต่างกับทายาทของทหารที่เสียชีวิตในสงครามที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นทายาทของวีรบุรุษ ลูกหลานของคนที่เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศกลับถูกมองว่าเป็นภาระของสังคมและถูกผลักไสให้ไปอยู่กับญาติที่บางทีอาจจะห่างกันเกินไปจนต่อไม่ติด เด็กกลุ่มนี้ต่อมาก็กลายมาเป็นเด็กเร่ร่อนขอทานและลักเล็กขโมยน้อยตามสถานี
ก่อนจะถูกจับไปขังกรงหรือหากตายก็ถูกนำไปฝังรวมกันโดยไม่ได้การประกอบพิธีทางศาสนา ไม่น่าเชื่อว่าแม้ในปัจจุบันนี้สื่อโทรทัศน์ก็ยังไม่ค่อยกล้าเสนอเรื่องราวเหล่านี้เท่าไหร่นัก ส่วนตัวเด็กกำพร้าจากสงครามที่รอดชีวิตและโตมาได้ก็พยายามซ่อนอดีตอันน่าเศร้าและเป็นที่รังเกียจของตัวเอง แต่ Grave of the Fireflies กลับเสนอเรื่องนี้มาตั้งแต่ 1988
ในช่วงที่ญี่ปุ่นยังอยู่ในยุคที่หลงใหลไปกับฟองสบู่เศรษฐกิจ เป็นการเตือนสติผู้คนในยุคนั้นได้อย่างดีนอกจากนั้นก็ยังมีเรื่อง Princess Mononoke ที่เล่นกับความเชื่อโบราณทางชินโตของญี่ปุ่นและเอามาผูกเข้ากับการรักษาสิ่งแวดล้อม ส่วน Spirited Away
ก็นำเอาความเชื่อญี่ปุ่นโบราณมาเล่าเรื่องของการเติบโตของเด็กสาวและวิจารณ์สังคมบริโภคนิยมไปพร้อมๆ กัน รวมถึง The Wind Rises ที่แสดงจุดยืนเรื่องการต่อต้านสงครามและตั้งคำถามต่อลัทธิชาตินิยมอย่างตรงไปตรงมา
ฮายาโอะ มิยาซากิ เกิดเมื่อ 5 มกราคม ปี1941 ที่กรุงโตเกียว และอาชีพการทำงานในฐานะนักอนิเมเตอร์ก็เริ่มต้นในปี 1963 ที่ สตูดิโอ โตเอะ โดงะ และมีส่วนร่วมในการ์ตูนอนิเมชั่นญี่ปุ่นยุคเริ่มแรกหลายๆเรื่อง และจากจุดนี้เอง
ที่ทำให้เขาตั้งใจที่จะสร้างการ์ตูนตามแบบฉบับของตัวเอง ในปี1971มิยาซากิได้ย้ายสตูดิโอเดิม ไปที่ เอ โปร ทำงานร่วมกับ อิซาโอะ ทาคาฮาตะ และ ไปทำงานต่อที่ นิปปอน อนิเมชั่น ในปี1973 ซึ่ง ตัวมิยาซากิเองนั้นได้มีส่วนร่วมในการสร้างอนิเมชั่นชั้น หนึ่งระดับโลก
ในปี1978 อ.มิยาซากิ ได้นั่งเป็นผู้กำกับครั้งแรกในอนิเม เรื่อง Future Boy Conan จากนั้นก็ได้ย้ายมาที่ โตเกียว มูฟวี่ ชินชะ ในปี 1979 และกำกับหนังการ์ตูนเรื่องแรกที่สตูดิโอนี้ อย่าง Lupin III: Castle of Cagliostro (1979)และ Nausicaa of the Valley of the Winds (1984)ซึ่งดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนที่เขาแต่งเมื่อ2ปีก่อน
จากการที่ภาพยนตร์ของมิยาซากิประสบความสำเร็จมานักต่อนัก จนในที่สุดเขาก็ได้สร้างสตูดิโอแห่งใหม่ซึ่งก็คือ สตูดิโอจิบลิ ที่ซึ่งมิยาซากิเอง ได้เริ่มกำกับ เขียนบท และ ถ่ายทำอนิเมชั่นหลายๆเรื่องร่วมกับทาคาฮาตะ เช่นเดิม
หนังอนิเมชั่นทั้งหมดของมิยาซากิได้รับคำวิจารณ์อย่างดีมากและประสบความสำเร็จในด้านรายได้ด้วย อย่างเรื่อง Princess Mononoke (1999) ก็ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก Japan Academy Award และเป็น1ในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดอีกเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์ญี่ปุ่นเลยทีเดียว
รวมถึงได้รับรางวัลออสการ์สาขาอนิเมชั่นยอดเยี่ยม จากเรื่องSpirited Away ในปี 2003นอกจากงานอนิเมชั่นแล้ว อ.มิยาซากิก็มีผลงานที่เป็นหนังสือการ์ตูนเหมือนกัน คือNausicaa โดยมิยาซากิ ก็ได้แต่งเรื่องนี้ไปพร้อมกับการทำอนิเมชั่น โดย เริ่มเขียนปี1982 กว่าจะเสร็จก็ปี1994 ส่วนเรื่องอื่นๆ Hikoutei Jidai คือเรื่องล่าสุด ซึ่งมาจากอนิเมชั่นเรื่อง Kurenai no buta (1992)
จุดเด่นในอนิเมชั่นของมิยาซากิ ก็คือ เป็นเรื่องราวการใช้ชีวิตของเด็กๆรวมถึงต้องมีฉากอ้างอิงถึงธรรมชาติ สิ่งแว้ดล้อม และมลพิษที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ หรือ ตัวละครหลักหลุดเข้าไปยังดินแดนมหัศจรรย์ และตัวละครหลัก1ใน2ตัว จะต้องเป็น จอมเวทย์หรือ มีอดีตที่ไม่ดี เป็นต้น