AB Normal วงร็อกสัญชาติไทยที่ประกอบไปด้วย 4 สมาชิก
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2545 AB Normal วงร็อกสัญชาติไทยที่ประกอบไปด้วย 4 สมาชิกคือ กวาง–ศิริศิลป์ โชติวิจิตร (ร้องนำ) โอ่ง–วิสารท กุลศิริ (กีตาร์) เก่ง–นที แสนทวี (เบส) และ หนีด–สิทธิพันธ์ บุญจันทร์ (กลอง)
ประสบความสำเร็จอย่างมากกับเพลง ‘พูดไม่ค่อยเก่ง’ ความสำเร็จดังกล่าวทำให้พวกเขาถูกยกให้เป็นวงอัลเทอร์เนทีฟร็อกรุ่นใหม่น่าจับตามอง แต่หลังจากความสำเร็จนั้น วงเจ้าของฉายา “ไม่ปกติ” ก็เดินมาถึงทางแยกสำคัญที่ทำให้ท้ายสุด AB Normal เหลือเพียงแต่ชื่อให้แฟนเพลงได้จดจำ
ทำเอาหลายคนถึงกับช๊-อคกันไปตามๆกันเมื่อได้รู้ว่า “วง AB Normal” วงร็อคสุดโปรดของวัยรุ่นไทยหลายๆคนได้ยุบวงไปแล้วเรียบร้อย ซึ่งมีอีกหลายๆคนเพิ่งทราบข่าวจากรายการ The Mask Singer หน้ากากนักร้อง
ที่อดีตนักร้องนำอย่าง “กวาง ศิริศิลป์ โชติวิจิตร” ได้ถูกเชิญให้ไปร่วมรายการภายใต้ “หน้ากากดำน้ำ” นั่นเองว่า “วง AB normal” นั้นกลายเป็นตำนานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ หนึ่งในสมาชิกของวง AB Normal อย่าง “หนืด สิทธิพันธ์ บุญจันทร์” ได้ขอลาออกจากวงด้วยเหตุผลส่วนตัว จึงได้ “แสบ สายัณห์ สุวรรณเมธา” มาเล่นแบ็กอัปให้กับวงมาเรื่อยๆ
จนกระทั่ง สมาชิกของวงที่เหลืออย่าง “โอ่ง วิสารท กุลศิริ” , “เก่ง นที แสนทวี” และ “กวาง ศิริศิลป์ โชติวิจิตร” ก็ได้ตัดสินใจยุบวงและแยกย้ายไปประกอบอาชีพอื่นๆตามทางของตัวเอง
ล่าสุด “หนุ่มกวาง” อดีตนักร้องนำของวงก็ได้กลับมาในฐานะศิลปินเดี่ยว พร้อมซิงเกิ้ลประกอบละครเรื่อง ร่างใหม่…หัวใจเดิม ที่มีชื่อว่า ผิดทั้ง 2 ทาง และนอกจากนี้ก็กำลังเตรียมซิงเกิ้ลใหม่กับต้นสังกัดอย่าง Genie Records ด้วย คาดว่าจะได้ฟังเพลงใหม่ของเขากับต้นสังกัดใหม่ต้นปีหน้าแน่นอน
ก่อนหน้านี้หลายคนอาจจะรู้จัก กวาง–ศิริศิลป์ ในฐานะฟรอนต์แมนของวง แต่ด้วยความหลงใหลในดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ร็อก ทำให้เขาหันมาทำเพลงอีกครั้งในฐานะศิลปินเดี่ยวภายใต้ต้นสังกัด
จีนี่ เรคคอร์ด ชวนผู้ชายคนนี้พูดคุยในหลากหลายเรื่องราว ท้ังจุดเริ่มต้นการร้องเพลง สาเหตุที่ออกจากวง อีโก้มหาศาลที่หายไปเพราะวงร็อกหน้าใหม่ที่ชื่อ Retrospect
รวมถึงชีวิตรักที่ใครก็บอกว่าดูฉาบฉวยแต่วันนี้เขาพิสูจน์แล้วว่านี่คือรักที่ใช่ที่สุดและความสวยงามของท้องทะเลกับความเร็วที่สอนให้เขามีสติ
บทสัมภาษณ์ต่อไปนี้คือการเปิดเผยตัวตนของเขาในเรื่องที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้ ชีวิตที่เดินมาเจอดนตรี และชีวิตเปลี่ยนไปตลอดกาลเพราะดนตรี?
ศิริศิลป์: คุณพ่อผมเป็นทันตแพทย์ ส่วนคุณแม่เป็นแม่บ้าน ตอนแรกใคร ๆ ก็คิดว่าโตมาต้องเป็นหมอเหมือนคุณพ่อ แต่โชคดีที่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ไม่เคยบังคับอะไรเลยตั้งแต่เด็ก
ชอบอะไรอยากทำอะไรทำเลย ตอนเด็กเลยเป็นคนที่ชอบวาดรูป วาดการ์ตูน ชอบเรื่องเกี่ยวกับศิลปะ อันนี้ไม่รู้ว่ายังไงแม่ถึงตั้งชื่อ ‘ศิริศิลป์’ เป็นศิลปะที่ดีงาม
ผมโตมาในโรงเรียนชายล้วน ใช้ชีวิตแบบเด็กผู้ชายทั่วไป เล่นกีฬา ถามว่าตั้งใจเรียนไหม ก็ระดับกลาง บางทีก็ดี บางทีก็ไม่ดี แล้วแต่วิชา ชอบไม่ชอบแล้วแต่ช่วงนั้นสนใจเรียนหรือเปล่า
ผมมาสนใจดนตรีจริง ๆ น่าจะสักประมาณ ม.1 เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่จับคือกีตาร์ คือตอนนั้นเหมือนเป็นงานรวมญาติ เหมือนลูก ๆ หลาน ๆ จะมาโชว์ความสามารถกัน ผมเห็นญาติคนหนึ่งเล่นกีตาร์โชว์ โห…เท่จังวะ
ฉันต้องใช้วิธีนี้ไปจีบหญิงได้แน่ ๆ ก็เลยจับกีตาร์ กลับมาก็ขอกีตาร์คุณพ่อ ตอนนั้นคุณพ่อเป็นหมอด้วยแล้วก็เป็นเจ้าของโรงจำนำด้วย พ่อก็ไปรื้อกีตาร์ในโรงจำนำมาให้ 2 ตัว เป็นกีตาร์คลาสสิก ทีแรกเอามาก็จับงง ๆ
พ่อก็สอนบ้างไม่สอนบ้าง งง ๆ อยู่พักหนึ่ง เหมือนจะไม่ค่อยได้เรื่อง คุณพ่อเลยบอกว่าถ้าชอบก็ไปเรียนดูแล้วกันผมไปเรียนกีตาร์คลาสสิกก่อน ก็โอเคเล่นได้ อาทิตย์เดียวเล่นเป็นเพลงได้แล้ว เลยเล่นกีตาร์มาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ตอนนั้น
แต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองร้องเพลงได้ด้วย จนกระทั่งประมาณ ม.5 ที่โรงเรียนอัสสัมชัญมีประกวด Ac Music Contest ก็ลงประกวดไป คือจริง ๆ ลงประกวดตั้งแต่ ม.4 แล้ว ในฐานะเป็นวงแล้วก็เป็นมือกีตาร์โซโล่
แต่ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เพราะตกตั้งแต่รอบคัดเลือก จนมา ม.5 นักร้องเดิมออก เราพยายามหานักร้องใหม่ แต่หาไม่ได้สักที เอาใครมาร้องเขาก็ไม่ค่อยอินกับเรา เราก็ไม่ค่อยอินกับเขา
จนจะถึงเวลาแข่งอยู่แล้วก็เออ…เดี๋ยวกูร้องเองก็ได้ เลยเป็นกีตาร์ด้วยร้องด้วย ปรากฏว่าวงดนตรีได้ที่ 1 แล้วก็ได้นักร้องยอดเยี่ยมในปีเดียวกัน เลยรู้ตัวว่าร้องเพลงได้นี่หว่า ถึงเริ่มมาทางร้องเพลงมากขึ้น
‘พูดไม่ค่อยเก่ง’ เพลงแจ้งเกิดเพลงนี้เปลี่ยนชีวิตคุณไปขนาดไหนศิริศิลป์: เปลี่ยนหลายอย่าง อย่างแรกที่เปลี่ยนคือความฝันที่วางแผนมายาวนานพังทลายหมดเลย ไปเรียนต่อเมืองนอกอะไรพังทลายหมด อันนี้คือสิ่งแรกที่มีผลกระทบอย่างจริงจัง
อย่างที่สองก็น่าจะเป็นเรื่องนิสัยก็มีเปลี่ยนบ้างนะ นิสัยช่วงเด็กก็จะเกรี้ยวกราดขึ้น เนื่องด้วยเราอาจเป็นอย่างที่เขาเคยพูดกันว่าพอดังชั่วข้ามคืน การรับพลังก้อนนั้นมาบางทีมันใหญ่เกินเด็กอายุแค่นั้น เพราะตอนนั้นน่าจะแค่ 17-19 แล้วคิดดูว่าเด็ก 17-19 มีคนมาเอาใจเยอะขนาดนั้น มีเงินมโหฬารขนาดนั้นมาให้เราใช้
ความเกรี้ยวกราดที่เคยมี อย่างเช่นไปเล่นคอนเสิร์ตกับวงอื่น ๆ ก็จะอีโก้สูงมาก จะไม่ยอมเล่นเป็นวงเปิด จะเล่นวงปิดเท่านั้น สมมติอันไหนจำเป็นต้องเล่นก่อน ก็จะไม่อยู่ดูใครเลย เล่นเสร็จขึ้นรถกลับบ้าน หรือฉันก็ไปปาร์ตี้ของฉันเลย
คือไม่สนกับการดูวงอื่น เพราะคิดในหัวว่ากูเก่งสุด กูเบอร์หนึ่งที่สุด ซึ่งมันเป็นความแย่ ณ ตอนนั้นซึ่งเราไม่รู้ตัว เราคิดว่าร็อกเกอร์ ร็อกแอนด์โรลล์ต้องกร่าง ๆ เกรี้ยวกราด
จนกระทั่งวันหนึ่งถึงจุดเปลี่ยนเรามีโอกาสได้เล่นกับวงหนึ่งซึ่งวันนั้นนึกอะไรไม่รู้อยู่ๆก็ดูเหมือนขี้เกียจกลับก็ไปแอบดูเขาเล่นอยู่ชั้นล่างแล้วเหมือนขาตายเหมือนตกอยู่ในภวังค์ยืนน้ำตาไหลดูจนจบโชว์ซึ่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อนเลย
ติดอยู่ตรงมุมที่เราอยู่ดูแล้วก็คิดในหัวว่ากูไปทำอะไรอยู่วะไปอยู่ที่ไหนมาตั้งนานนี่เขาไปถึงไหนกันแล้วเขาเลิกเล่นแบบที่เราเล่นมาตั้งนานแล้วเขามีอะไรใหม่ๆมาให้ดูตั้งเยอะแล้ววันนั้นคือการทุบกำแพงครั้งใหญ่เลยความอีโก้ที่กวางบอกตอนแรกว่ากูต้องเป็นที่หนึ่ง
ตลอดกูอยู่ที่สองไม่ได้ทำให้ไม่ฟังใครเลยไม่ดูใครเลยหลังจากวันนั้นคือฟังเพลงเพราะมากเลยฟังเพลงคนอื่นเปิดฟังแบบเฮ้ยวงนั้นออกเพลงใหม่มาขอฟังหน่อยยืนดูคอนเสิร์ตเขาเล่นยังไงวะคือเปิดโลกใหม่แบบสบายขึ้นเยอะจากที่เราเคยเกร็งกับความอีโก้ของเรา