ชีวิตสุดท้ายที่เลือกของ”เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล่”

“วรเชษฐ์ เอมเปีย” หรือ “เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล่” มือกลอง สไมล์บัฟฟาโล่ วงดนตรีขวัญใจวัยรุ่นยุค 90 เปิดบ้านใน ต.หนองขยาด อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี

เจ้าตัวใช้เวลากว่ายี่สิบปี ปลูกต้นไม้หมื่นกว่าต้นเรียงรายโดยรอบ เนรมิตให้เป็นสวนป่าอันแสนร่มรื่น

จากนักร้องบนเส้นทางสายดนตรี ละทิ้งทุกอย่าง สู้ชีวิตสบายๆ แบบพอเพียงตามคำสอน “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ของ “เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล่”

ไปติดตามกันหากพูดถึงวงดนตรีออลเทอร์นาทิฟที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศไทยวงหนึ่ง จะต้องมีชื่อของ “สไมล์บัฟฟาโล่” เป็นชื่อแรกๆ ด้วยแนวทางด้านดนตรีที่ไม่เหมือนใครในยุคนั้น

พร้อมชื่อวงเก๋ๆ ที่แปลเป็นไทยแบบติดตลกว่า “ยิ้มสิ…ควาย” ก็โดนใจวัยรุ่นยุคนั้นมากๆกาลเวลาผ่านไปแต่ละคนก็หันหลังให้กับเส้นทางดนตรี มาใช้ชีวิตของตนเองในเเบบที่พอใจหลังจากได้เดินทางสายดนตรีมานาน

รวมถึงหนึ่งในสมาชิกอย่าง “เชษฐ์-วรเชษฐ์ เอมเปีย” มือกลองของวง ที่ปัจจุบันทิ้งชีวิตนักดนตรีมาสู่การทำไร่ทำนาทำสวน ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของ

“ในหลวงรัชกาลที่ 9”“เชษฐ์” ได้กลายเป็นเกษตรกรเต็มตัวมานานกว่า 10 ปีแล้ว ช่วงที่ตนเองดัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เข้ามาทั้งชื่อเสียง เงินทอง รายได้ต่อวันเฉียดหนึ่งแสนบ.

ใช้ชีวิตแบบประมาท เพราะคิดว่ายังอยู่ในชีวิตที่รุ่งเรือง แต่หลังจากนั้นจุดพลิกผันเริ่มจากที่ตนกลับมาดูแลคุณแม่ที่ป่วย และพอได้บวช

ก็เห็นสัจธรรมในชีวิต ตัดสินใจขายรถ ขายบ้าน ขายโรงเรียนสอนดนตรีหลีกหนีความวุ่นวายมาหาพื้นที่ปลูกป่าตามความต้องการของตนเอง

ตามแนวคิด “ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา” ใช้พื้นที่ที่ตนเองมีในการปลูกป่าและจัดสรรพื้นที่ทำเกษตรแบบทฤษฎีใหม่

ปรับพื้นที่ตั้งแต่พื้นที่ว่างเปล่าเป็นทุ่งนาใหญ่ ปลูกทั้งข้าว มะม่วง มะกรูด มะพร้าว และมีการเล่นดนตรีการกุศลบ้างในบางครั้งในช่วงแรก

“เชษฐ์” ตั้งใจจะปลูกข้าวกินเอง ใช้ปุ๋ยจากมูลสัตว์ ให้พี่น้องชาวบ้านในระแวกนั้น แถมยังได้บรรยากาศธรรมชาติ

พอมีผลผลิตก็นำไปขายได้ ตามแนวทางเกษตรพอเพียงของ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ซึ่งนอกจากการทำไร่ทำนาแล้ว “เชษฐ์”

ยังผุดการทำโรงทาน สร้างโรงทานเพื่อช่วยเหลือคนยากจน ตามแนวทางที่ว่า “พอเพียงจึงแบ่งปัน” รวมทั้งการเปิดคอนเสิร์ตการกุศล

ช่วยเหลือสัตว์ต่างๆ อาทิ สุนัข และแมวอีกด้วย ชีวิตที่ยังเหลืออยู่ “เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล่” ทุกลมหายใจมีแต่ให้

คลิป