“อัศจรรย์” ชีวิตของ “ภูมิ วิภูริศ”
ภูมิ วิภูริศ คือ คนดนตรีอินดี้รุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้ จากงานดนตรีที่มีสไตล์โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ทั้งในไทยและโดยเฉพาะในต่างแดนที่ชื่อเสียงของภูมิขจรไกล
จนได้ไปทัวร์ตามที่ต่าง ๆ ทั่วโลกจนคนต่างประเทศรู้จัก “Phum Viphurit” มากกว่าคนไทยเสียอีก ด้วยวัยเพียง 24 ปี แต่กลับได้สัมผัสประสบการณ์และความสำเร็จมากมายขนาดนี้
ชีวิตของ “ภูมิ วิภูริศ” จึงเป็นชีวิตที่น่า “อัศจรรย์” น่าศึกษาและเรียนรู้ว่า “สิ่งใด” ทำให้ภูมิ วิภูริศคนนี้ประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้และกลายเป็นคนดนตรีจากเอเชียที่โลดแล่นไปอยู่ในวงการดนตรีโลกได้อย่างภาคภูมิใจHome beartai BUZZ
ภูมิ วิภูริศ เป็นศิลปินเลือดไทยที่ดังไกลในต่างแดน เกือบทุกงานเทศกาลดนตรีใหญ่ ๆ มักจะมีชื่อ “Phum Viphurit” ปรากฏอยู่ในไลน์อัปอยู่เสมอ จึงไม่แปลกที่ชื่อของเขาจะเป็นที่รู้จักในต่างแดนมากกว่าในบ้านเกิดของตัวเอง
สื่อต่างแดนต่างยกย่องว่า ภูมิเป็นศิลปิน local indy ที่พุ่งทะยานไปสู่ตลาดในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว นั่นจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจว่า “ความสำเร็จนี้มีที่มาจากอะไร”ภูมิ วิภูริศ ศิริทิพย์ เป็นคนไทยโดยกำเนิด
คุณพ่อและคุณแม่เป็นคนไทย แต่เมื่อคุณแม่ได้งานที่นิวซีแลนด์ก็เลยพาภูมิในวัย 9 ขวบและพี่ชาย ไปอยู่ด้วยกันที่เมืองแฮมิลตัน (Hamilton) เมืองเล็ก ๆ ที่มีคนอยู่อาศัยราว ๆ 4 แสนคน ซึ่งน้อยกว่าบางย่านที่ชุกชุมในกรุงเทพฯ เสียอีก
ด้วยความเงียบของเมืองซึ่งร้านรวงมักจะปิดกันตั้งแต่เย็น ทำให้เกิดเวลาว่างมากมายที่เราสามารถใช้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ได้มากที่สุดสิ่งแรกที่ภูมิสนใจนั้นไม่ใช่ดนตรี หากแต่เป็น “กีฬา”
ภูมิเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ เทนนิส ฟุตบอลและบาสเกตบอล ซึ่งการเล่นของภูมิจะไม่ใช่สายพลังแต่เป็นสายชั้นเชิงมากกว่าภูมิเริ่มเล่นดนตรีเมื่ออายุ 13-14 มีรากฐานการชอบฟังเพลงมาจากที่บ้าน คุณแม่ชอบเพลงยุค 70s-80s เช่น ABBA พี่ชายชอบเพลง Disney
เครื่องดนตรีแรกที่ภูมิเล่นอย่างจริงจังคือ “กลอง” (ในทุกวันนี้หากได้ชมการแสดงสดของภูมิก็จะได้เห็นลีลาการตีกลองของภูมิ) เป็นเครื่องดนตรีที่ภูมิรู้สึกว่ามันส์ดีและได้ฝึกแยกประสาท
โดยจะตั้งกลองไว้ในโรงรถ พอกลับมาบ้านราว 4-5 โมงเย็นก็มาตี จนเริ่มรู้สึกว่ารบกวนข้างบ้านที่เพิ่งมีลูกเล็กก็เลยขอพักไว้ก่อน
ภูมิเริ่มเกิดแรงบันดาลใจในการอยากเล่นกีตาร์ จากการที่ได้ชมการแสดงของ “Jason Mraz” ที่แสดงสดในชิคาโก (Jason Mraz’s Beautiful Mess: Live on Earth)
ที่เปิดในร้านแมงป่องสาขาเมเจอร์รัชโยธินตอนกลับไทยในช่วงวัย 13 ภาพของเจสันที่เดินเท้าเปล่าขึ้นมาบนเวทีพร้อมกีตาร์โปร่งไฟฟ้าได้สร้างความประทับใจให้ภูมิอย่างมาก จากการเล่น การร้อง และการเล่าเรื่องที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของเจสัน
จากนั้นภูมิจึงขอคุณแม่ซื้อกีตาร์และฝึกเล่นกีตาร์ด้วยการเรียนรู้จากยูทูบ และโปสเตอร์ผังคอร์ดที่ซื้อมา โดยที่ไม่เคยเรียนทฤษฎีดนตรีอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลย เริ่มเต้นเล่นเพลงของ Jason Mraz , Maroon 5 และเริ่ม cover เพลงลงช่อง ยูทูบของตัวเอง
จนมีคนมาชื่นชมว่าเรียบเรียงได้ดี ภูมิจึงเริ่มสนใจที่จะแต่งเพลงของตัวเองเพลงแรกที่ภูมิแต่งและปล่อยในยูทูบชื่อว่า “Beg” (ซึ่งต่อถูกบรรจุไว้ในอัลบั้ม “Man Child” อัลบั้มแรกในชีวิตของภูมิ)
เพลงนี้ภูมิได้แรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์การจีบสาวฝรั่งคนหนึ่งซึ่งสุดท้ายก็อกหักตามระเบียบ เลยเกิดเป็นเพลง “Beg” ขึ้นมา ตอนนี้ทั้งคู่ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีกันอยู่ ส่วนสาวเจ้าก็แต่งงานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพลงแรกที่ภูมิแต่งและปล่อยในยูทูบชื่อว่า “Beg” (ซึ่งต่อถูกบรรจุไว้ในอัลบั้ม “Man Child”
อัลบั้มแรกในชีวิตของภูมิ) เพลงนี้ภูมิได้แรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์การจีบสาวฝรั่งคนหนึ่งซึ่งสุดท้ายก็อกหักตามระเบียบ เลยเกิดเป็นเพลง “Beg” ขึ้นมา ตอนนี้ทั้งคู่ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีกันอยู่
ส่วนสาวเจ้าก็แต่งงานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วภูมิพบว่าอนาคตของเด็กฟิล์มในไทยเป็นอะไรที่ยาก หากไม่เป็นคนที่โดดเด่นหรือมีคอนเนกชันที่ดีจริง ๆ ยิ่งยุคนี้เป็นยุคที่เทคโนโลยีการสร้างภาพยนตร์สามารถเข้าถึงคนทุกคน ยิ่งทำให้คนสร้างสรรค์งานต้องมาเน้นที่ไอเดียมากยิ่งขึ้น
สุดท้าย “อาชีพนักดนตรี” จึงได้กลายเป็น “อาชีพหลัก” ของภูมิ วิภูริศในที่สุดจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่เส้นทางดนตรีเริ่มต้นจากการที่ “เติ้ล The Whitest Crow” ซึ่งเรียนอยู่คณะเดียวกันกับภูมิ (แต่คนละสาขา) ได้เห็น cover
ที่ภูมิทำลงยูทูบเลยส่งไปให้ที่ค่าย “Rats Records” จนเกิดความสนใจในตัวภูมิและได้ร่วมงานกันในที่สุดภูมิตัดสินใจที่จะทำงานกับ Rats Records ทันที โดยไม่ได้คิดถึงตัวเลือกอื่นหรือค่ายเพลงอื่นเลย เนื่องจากเป็นค่ายแรกที่ติดต่อมาและภูมิเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่เข้ามา ซึ่งภูมิไม่เคยคิดมาก่อนเลยด้วยซ้ำว่าจะมีโอกาสนี้
ในตอนนั้นภูมิยังไม่มีเพลงเลยมีแค่เพียง demo เพลง “Beg” ที่อัพลง soundcloud ในปี 2013ทุกเพลงภูมิแต่งเองทั้งหมดรวมไปถึงเขียนเนื้อร้องที่เป็ภาษาอังกฤษด้วย โดยมีพี่ ๆ ในค่ายมาช่วยทำให้ภูมิได้เรียนรู้และเติบโตขึ้น
จนมีซิงเกิลแรกที่มีชื่อว่า “Adore” ออกมาในช่วงที่ภูมิกำลังเรียนอยู่ปี 1-2 เป็นงานเพลงในสไตล์อินดี้โฟล์ก อัลเทอร์เนทีฟโฟล์กอัลบั้มแรกในชีวิตของภูมิ “Man Child”
นับว่ามีเสียงตอบรับที่ดีพอสมควร วางขายครั้งแรกที่งาน CAT ก็ขายหมดเกลี้ยง (ในเวลาต่อมาอัลบั้มนี้มีทำออกมาเป็น edition สำหรับวางขายที่ญี่ปุ่นด้วย)หลังจากนั้นภูมิก็ได้เล่นในเทศกาลดนตรีทั้งเล็กใหญ่มากมาย
ซึ่งมันคือฝันไกลของภูมิที่บรรลุในที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นภูมิก็ยังไม่ได้มองว่า”ดนตรี” คืออาชีพ หรือคิดวางแผนในแบบ business model ว่ามันจะสร้างรายได้ให้กับชีวิตตนเองอย่างไร
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเริ่มขึ้นเมื่อมีชาวต่างชาติมาติดต่อขอเสนอตัวเป็นผู้จัดการของภูมิ ซึ่งเกิดจากการที่ภูมิได้ปล่อยเพลง “Long Gone” ซึ่งเป็นเพลงที่ภูมิแต่งเร็วมากแถมยังทำ MV เอง
แต่มันเป็นเพลงที่ภูมิมั่นใจว่าถ้าปล่อยไปทุกคนจะต้องชอบ นี่แหละมันคือตัวเราจริง ๆ ไม่มีใครทำ sound แบบนี้อีกแล้วแต่สุดท้ายพอปล่อยไปมันก็เงียบ… จนเพื่อนที่นิวซีแลนด์เริ่มทักมาว่าภูมิมาเป็นศิลปินที่ไทยหรอ ทั้ง ๆ
ที่ภูมิไม่เคยบอกเพื่อนเลย ซึ่งเพื่อนของภูมิไปเจอเพลงของภูมิจาก reddit (คล้าย pantip ของไทย) จากนั้น “Long Gone” ก็ไปติดชาร์ตที่จีน ที่ยุโรป อีกเหตุผลหนึ่งที่คนรู้จักเพลงนี้ก็เกิดจากการแนะนำของอัลกอริธึ่มในยูทูบ เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสถึงการมีฐานแฟนเพลงต่างชาติ
จากนั้นได้มีคนไต้หวันมาติดต่อภูมิไปเล่นในงาน music conference ที่รวมนักดนตรีหลายชาติมาเล่นให้คนจัดมิวสิกเฟสติวัลดู เป็นงานที่จัดในเมืองเล็ก ๆ สถานที่เล็ก ๆ มีคนดูไม่เกิน 50 คน แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ของภูมิ
เพราะใน 50 คนนั้นคือคนสำคัญในวงการดนตรีงานนี้ได้เปิดมุมมองการเป็นนักดนตรีให้กับภูมิ ทำให้ภูมิได้เห็นโอกาสอันมากมายหลากหลาย จากการที่ได้เล่นดนตรีในต่างแดนแล้วพบว่าดนตรีของภูมิสามารถเชื่อมโยงไปถึงแฟนเพลงต่างชาติได้
ได้เห็นระบบการจัดการของทีม Management และได้สร้างคอนเนกชันในระดับนานาชาติสิ่งนี้ได้มอบบทเรียนว่างานบางงานอาจเล็ก แต่กลับใหญ่ไปด้วยคุณภาพ การทำอะไรที่ตรงจุดถูกที่ถูกทางย่อมนำพาเราไปพบกับการเปลี่ยนแปลงหรือความสำเร็จได้
การเป็นนักดนตรีจึงไม่ควรทิ้งคำว่า ”โอกาส”ภูมิรู้สึกว่าตนเองโชคดีที่ได้ทำงานในยุคอินเทอร์เน็ตจริง ๆ เพราะมันมีส่วนสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนงานเพลงของภูมิ ตั้งแต่งานเพลงใน “Man Child” ไปสู่ซิงเกิล “Lover Boy” และ EP “Bangkok Balter Club”
จนในที่สุดภูมิได้เริ่มออกทัวร์เอเชียเมื่อเดินพฤษภาคมปีก่อน“Lover Boy” เป็นซิงเกิลฮิตถล่มทลายของภูมิ ภูมิเริ่มถูกพูดถึงในวงกว้างรวมทั้งมีการแชร์เพลงของภูมิในโซเชียลมีเดียอย่างแพร่หลาย และเป็นครั้งแรกที่ภูมิเริ่มเปลี่ยนไสตล์จากการเล่นที่เน้นกีตาร์โปร่งมาสู่กีตาร์ไฟฟ้า
เป็นช่วงที่ภูมิกำลังอินกับดนตรียุค Motown / Stevie Wonder / Jackson 5 / George Benson อยากทำเพลงที่เป็นโซลแต่มีองค์ประกอบของพอปเลยแต่งเพลง “Lover Boy” ขึ้นมา
จุดโดดเด่นอีกอย่างของเพลงนี้อยู่ที่ “มิวสิกวิดีโอ” ที่เปลี่ยนจากหาดจอมเทียนของพัทยาให้กลายเป็นไมอามี่บีชในอเมริกา กำกับโดยผู้กำกับหญิงฝีมือดี “จีน คำขวัญ ดวงมณี” ที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กจนได้มีโอกาสร่วมงานกันในครั้งนี้
โดยภูมิให้อิสระจีนในการคิด MV จากภาพที่เห็นจากการฟังเพลงนี้ ซึ่งภาพที่จีนคิดออกมาก็คือพัทยา ตอนนั้นภูมิก็ยังคิดในใจว่ามันจะคูลได้ยังไง ตอนไปถ่านก็ไปกันง่าย ๆ
กล้องตัวนึงพร้อม stedicam และก็ใช้แสงจากธรรมชาติเท่านั้น แต่พอภาพออกมามันน่าตกใจมากเพราะ “พัทยา” ใน MV นี้มันดู “ไมอามี่” สุด ๆ ซึ่งอีกองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ภาพออกมาเป็นอย่างนี้ก็คือการแก้สี (color grading)
อย่างน่าอัศจรรย์ของ เขต-สิรดนัย ผึ้งน้อย Colorist จาก Littlebee Lab ด้วยและซิงเกิลนี้ก็ได้กลายมาเป็นทัพหน้าในการนำพาภูมิไปสู่การทัวร์คอนเสิร์ตในแดนไกลมากมายทั่วโลก