คล็อปป์ ชายผู้ปลูกยักษ์หลับ
คล็อปป์ เป็นโค้ชที่โดน-วิจ-า -รณ์หนักมากในช่วงการคุมทีม ลิเวอร์พูล ซีซั่นแรก เพราะทุกคนเห็นว่าเขาเป็นโค้ชมิติเดียว มีแต่สั่งนักเตะให้วิ่งไล่เข้าไปจนสุดทาง และเล่นเกมรุกให้รวดเร็ว โดยไม่สนใจเกมรับอันเป็นจุดที่ทำให้ทีมต้องพลาดเกมสำคัญ ๆ
ประจำ ช่วงนั้นมีวลีที่ ลิเวอร์พูล มักจะโดนล้อเลียนว่า “แชมป์วิ่งเยอะ” อันเกิดจากสถิติการวิ่งเฉลี่ยของนักเตะในทีมในแต่ละเกมจากแทคติก “เกเกนเพรสซิ่ง” ทว่าผลลัพธ์คือหลายเกมกลับเอาชนะไม่ได้ แต่ก็อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น สำหรับเขา
งานที่ลิเวอร์พูลคืองานระยะยาว และเขาจะไม่เปลี่ยนเป้าหมายที่เขาบอกตัวเองและลูกน้องในทีมเด็ดขาด มั่นคง ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนไม้หลักปักขี้เลน ในที่สุดการรอคอยอันยาวนาน 30 ปีของลิเวอร์พูลก็เป็นอันยุติ เมื่อ “คล็อปป์”
นำทีมหงส์แดงคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ นี่ไม่ใช่ความสำเร็จแรกของเขาในวงการฟุตบอล เพราะก่อนหน้านี้เขาก็เคยพาโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ในช่วงเวลาที่ไม่มีอะไรเลยไปสู่การเป็นแชมป์บุนเดสลีกา 2 ฤดูกาลติด
อีกทั้งยังเข้าชิงถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกอีกด้วย เขากลายเป็นกุนซือคนดังในเยอรมนี และมาไกลมากหลังจากเริ่มต้นคุมทีมครั้งแรกกับไมนซ์ สโมสรที่เขาค้าแข้งมาอย่างยาวนานในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ ก่อนแขวนสตั๊ดแล้วผันตัวเองมายืนสั่งการที่ข้างสนาม
“คล็อปป์” ยอมรับว่าเขาหลงใหลในมนต์ขลังของลูกหนังอังกฤษ และในที่สุดก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีม “ลิเวอร์พูล” ด้วยความเชื่อมั่นว่าเขาจะนำพายุคสมัยแห่งความเกรียงไกรกลับมาสู่สโมสร ซึ่งสุดท้ายก็ทำได้จริง ๆ ด้วยปรัชญาการทำทีมในแบบฉบับของตัวเองที่ไม่มีใครเหมือน ยอดกุนซือชาวเยอรมันยังเป็นที่รักของผู้เล่น
ด้วยแพสชั่นและทักษะการบริหารคนที่ยอดเยี่ยม และแน่นอนว่าแฟนบอลก็รักเขาเช่นกันจากสิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้แสดงให้เห็นในสนาม “ผมอยากจะเป็นโค้ชที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะเป็นได้” คล็อปป์กล่าวถึงเป้าหมายของตัวเอง และหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เราได้เห็นภาพการเดินทางสู่เป้าหมายของ “คล็อปป์” อย่างชัดเจน ได้แกะรอยเรื่องราวสู่ความสำเร็จของชายผู้นิยามตัวเองว่าเป็น “เดอะนอร์มัลวัน”
คล็อปป์ มีชื่อกลางว่า นอร์เบิร์ต (แปลว่าฮีโร่, แสงสว่างแห่งทิศเหนือ, แสงสว่างแห่งท้องทะเล) เกิดวันที่ 16 มิถุนายน ปี 1967 ที่เมืองสตุ๊ตการ์ต ในประเทศเยอรมันตะวันตก ส่วนสูง 193 เซนติเมตร
เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมันก้าวเข้ามาคุมทีม ลิเวอร์พูล ด้วยสถิติที่ยอดเยี่ยมจากการประสบความสำเร็จที่ บุนเดสลีกา และ เป็นที่จดจำในฐานะโค้ชสมัยใหม่ที่มีแนวคิดหัวก้าวหน้า
ประวัติการคุมทีมของเขาน่าสนใจไม่น้อยจากการพา โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เถลิงแชมป์ลีก บุนเดสลีกา 2 สมัย, เยอรมัน คัพ 1 สมัย และ เข้ารอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เขาคุมทัพเสือเหลืองตลอด 7 ปี
ในตอนนี้ หลังจากการว่างเว้นพักการคุมทีมไประยะสั้นๆ เขาก็ได้ก้าวมารับตำแหน่งผู้จัดการทีมที่ แอนฟิลด์ พร้อมนำฟุตบอลที่น่าตื่นเต้นเร้าใจมาสู่ทีม ไมนซ์ 05ในแง่ประวัติของการเป็นนักเตะนั้น คล็อปป์ เคยเล่นให้ ไมนซ์ 05 เพียงทีมเดียวเท่านั้นในการค้าแข้งอาชีพ ตั้งแต่ปี 1990-2001 ก่อนจะตัดสินใจแขวนสตั๊ดในวัย 34 ปี พร้อมสถิติการถล่มประตูในลีกถึง 52 ลูก
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์อะไรมากมาย แต่เขาก็ค้นพบว่าตัวเขาเองมีความสามารถในความเข้าใจเกมเป็นอย่างดี ซึ่งตัวเขาเคยกล่าวไว้ว่า”ผมไม่เคยประสบความสำเร็จในการนำสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในหัวลงไปสนาม ผมมีพรสวรรค์ฝีเท้าแค่ระดับดิวิชั่น 5 แต่มีมันสมองระดับบุนเดสลีกา ผลที่ตามมาผมก็เลยได้เล่นบนลีกดิวิชั่นสอง”
ความสามารถนี้จึงทำให้เขาใช้ประสบการณ์ที่มี ได้เปลี่ยนตำแหน่งจากการเล่นกองหน้าไปสู่ตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟ ซึ่งทำให้เขาก้าวหน้ามากกว่าเดิมในการค้าแข้ง และส่งผลให้เขาได้ลงเล่นในระดับอาชีพมากกว่า 300 นัดที่กล่าวมาข้างต้นจึงเป็นพื้นฐานการเตรียมตัวที่ดีสู่อาชีพการเป็นโค้ช โดย คล็อปป์ เริ่มคุมทีม ไมนซ์ ในปี 2001 หลังการเลิกเล่นมาอย่างยาวนานร่วม 11 ปี
และในที่สุดการรอคอย 41 ปีของสโมสร ไมนซ์ ก็สิ้นสุดลง เมื่อเขาพา ไมนซ์ เลื่อนชั้นได้สำเร็จเพียงแค่ฤดูกาลที่ 3 ในการคุมทีม โดยเลื่อนชั้นจากการทำให้ ไมนซ์ จบในอันดับสองของ ลีกา 2 เยอรมัน
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยผลงานดังกล่าว ทำให้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ตัดสินใจเลือกเขามารับงานในซัมเมอร์ปี 2008 เพื่อหวังแก้วิกฤตความตกต่ำของทีมที่จบในอันดับ 13 ของซีซั่นดังกล่าวในเดือน พฤษภาคม 2008 คล็อปป์ ได้จรดปากกากลายเป็นกุนซือคนใหม่ของสโมสร โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยสัญญา 2 ปี
ซึ่งฤดูกาลแรกที่เข้ามาคุมทีม ก็สามารถพา “เสือเหลือง” เอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค ในศึก เดเอฟเบ ซูเปอร์คัพ ได้สำเร็จ และทำทีมจบอันดับ 6 ในตาราง และอันดับที่ 5 ในซีซั่นต่อมา ก่อนที่จะประสบความสำเร็จด้วยการความแชมป์ บุนเดสลีก้า ฤดูกาล 2010-2011 และ 2011-2012ระหว่างฤดูกาล 2011-2012 คล็อปป์ ทำทีมเก็บ 81 แต้ม
สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับสโมสร นอกจากนี้ยังทำสถิติคว้า 47 แต้มจากครึ่งฤดูกาลหลังอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอในวันที่ 12 พฤษภาคม 2012 เขาสามารถพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้สำเร็จ ทั้งในลีกและบอลถ้วยรายการ เดเอฟเบ โพคาล ประจำฤดูกาล 2011-2012
สำหรับฤดูกาล 2012-2013 ดอร์ทมุนด์ ต้องพบกับความยากลำบากในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อพวกเขาถูกจับเข้าไปอยู่ในกลุ่มโหด “กรุ๊ปอ็อฟเดธ” ร่วมกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด และ อาแจ็กซ์ อย่างไรก็ดี คล็อปป์ สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการไม่แพ้ใครเลยและเข้ารอบต่อไปด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม ก่อนที่จะพาทีมทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศพบกับคู่ปรับ บาเยิร์น มิวนิค และพ่ายไปด้วยสกอร์ 1-2 จากประตูชัยของ อาร์เยน ร็อบเบน ในนาทีที่ 89
เริ่มต้นซีซั่น 2013-2014 คล็อปป์ ได้รับการต่อสัญญาระยะยาวและไปสิ้นสุดเมื่อเดือน มิถุนายน 2018 โดยฤดูกาลนั้นเข้าพาทีมจบอันดับ 2 เป็นรอง “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ถึง 19 แต้ม จนกระทั่งในฤดูกาล 2014-2015 เขาประสบปัญหาผู้เล่นเจ็บและฟอร์มตก เป็นเหตุให้ทีมพ่ายยับและร่วงไปอยู่ท้ายตารางนานกว่าหลายเดือน ก่อนที่จะค่อย ๆ ทะยานขึ้นมาสู่อันดับครึ่งบนของตารางได้สำเร็จ
อย่างไรก็ดีเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2015 คล็อปป์ ได้ประกาศแยกทางกับทีมหลังจบฤดูกาลนี้ เพื่อแสดงความรับผิดชอบกับผลงานที่ย่ำแย่ แต่จะยังคุมทีมจนจบฤดูกาลอย่างไรก็ดีนอกเหนือไปจากความสำเร็จที่ผ่านมานั้น คือสไตล์การทำทีมของ คล็อปป์ ที่เน้นการเพรสซิ่งอย่างเข้มข้นและฟุตตบอลที่ดึงดูดเร้าใจ ที่ทำให้ทีมที่เขาคุมประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ซึ่งเขาได้อธิบายไว้ว่า
“สิ่งที่ผมรักนั้นไม่ใช่ฟุตบอลแบบราบเรียบ แต่เป็นฟุตบอลแบบนักสู้ที่ผมชื่นชอบ””สิ่งที่เรามักพูดถึงฟุตบอลอังกฤษที่เยอรมันก็คือ ฝนตกหนัก, สนามที่แข็งกระด้าง, ทุกคนเล่นบอลกันหน้าตาสกปรกมอมแมม พอเตะเสร็จก็กลับบ้าน และก็เล่นฟุตบอลไม่ได้อีกเลยใน 4 สัปดาห์ต่อมา
ลิเวอร์พูลในวันที่ 8 ตุลาคม 2015 คล็อปป์ ได้บรรลุข้อตกลง 3 ปีในการคุม ลิเวอร์พูล แทนที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมไอร์แลนด์เหนือคนเก่า การประเดิมงานครั้งแรกของเขาจบลงด้วยผลการบุกไปเสมอ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ศ 0-0 เมื่อ 17 ตุลาคม 2015 จากนั้นวันที่ 28 ตุลาคม 2015 คล็อปป์ ก็พาทีมชนะเป็นครั้งแรกในเกมเชือด บอร์นมัธ 1-0 ในถ้วย ลีก คัพ ส่งผลให้ทีมเข้ารอบควอเตอร์ไฟน่อลต่อไป
ขณะที่ 3 แต้มแรกบนเกม พรีเมียร์ ลีก เกิดขึ้นในเกมที่บุกไปถล่ม เชลซี 3-1 ถึง สแตมฟอร์ด บริดจ์ และผลงานที่สุดลือลั่นสำหรับพลพรรคเดอะค็อปคงหนีไม่พ้น แมตช์ที่ออกไปสอนบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ด้วยสกอร์ 4-1 ซึ่งกลายเป็นผลการแข่งขันที่ย่อยยับที่สุดในบ้านของทีมเรือใบสีฟ้าในรอบ 12 ปี
ชื่อเสียงด้านอื่นๆคล็อปป์ มีชื่อเสียงในแวดวงโฆษณาในสินค้่าหลายๆ แบรนด์ อาทิ เช่น พูม่า, โอเปิล, และธนาคาร โฟล์คแบงเค่น-ราฟไฟเซ่นแบงเค่น นอกจากนั้น คล็อปป์ ยังมีบทบาทเป็นแบรนด์แอมบาสเซเดอร์ให้กับรถยนต์โอเปิล และประสบความสำเร็จอย่างสูงในการช่วยเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น
นอกจากนั้น คล็อปป์ ยังเป็นแบรนด์แอมบาสเซเดอร์ให้กับแคมเปญที่ชื่อว่า Respekt! Kein Platz für Rassismus” ที่รณร-งค์การ-เ-หยี-ย-ด-สี-ผิ—วอีกด้วย
ชีวิตส่วนตัว คล็อปป์ ผ่านการแต่งงานแล้วและมีบุตรชาย 2 คน ในปี 1995 คล็อปป์ จบการศึกษาปริญญาโทด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาจากมหาวิทยาลัยแฟร้งเฟิร์ต ด้วยวิทยานิพนธ์หัวข้อการเดิน ด้านศาสนา คล็อปป์ นับถือคริสต์ นิกายโปรเตสแตนท์ ซึ่งบ่อยครั้งเขามักจะพูดถึงความเชื่อนี้ต่อสาธารณะชน โดยในหลายๆ บทสัมภาษณ์เขามักอ้างถึงความสำคัญของพระเยซูที่มีต่อการใช้ชีวิตของเขา