X

กว่าจะมาเป็น “พูม่า” ที่เรารู้จัก

กว่าจะมาเป็น “พูม่า” ที่เรารู้จัก

 

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1920 ซึ่งเป็นปีที่ อาดอล์ฟ ‘อาดิ’ ดาสส์เลอร์ วัย 20 ปีลูกชายคนโตของช่างทำรองเท้าคนหนึ่ง ในเมืองเล็กๆที่ชื่อ เฮอร์โซเกเนาราชในรัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี ผลิตรองเท้าสำหรับวิ่งที่มีเดือยแหลมใต้รองเท้าคู่แรกขึ้นรองเท้าของพวกเขามีโลโก้คือ แถบสี 2 เส้น

Adolf หรือ Adi Dassler เริ่มผลิตรองเท้ากีฬาของเขาเองหลังจากกลับมาจากส-งค-รา-มโ-ลกครั้งที่หนึ่งและน้องชายของเขา Rudolf (Rudi) Dasslerย้อนกลับไปเมื่อปี 1920 ซึ่งเป็นปีที่ อาดอล์ฟ ‘อาดิ’ ดาสส์เลอร์ วัย 20 ปี

ลูกชายคนโตของช่างทำรองเท้าคนหนึ่ง ในเมืองเล็กๆที่ชื่อ เฮอร์โซเกเนาราชในรัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี ผลิตรองเท้าสำหรับวิ่งที่มีเดือยแหลมใต้รองเท้าคู่แรกขึ้นรองเท้าของพวกเขามีโลโก้คือ แถบสี 2 เส้น

Adolf หรือ Adi Dassler เริ่มผลิตรองเท้ากีฬาของเขาเองหลังจากกลับมาจากส-ง-ค-ร-ามโล-กครั้งที่หนึ่งและน้องชายของเขา Rudolf (Rudi) Dasslerเมื่อถึงส-งค-ร-า-มโ-ลกครั้งที่ 2 โรงงานถูกพวก Nazis เข้าครอบครองและสั่งให้ผลิตรองเท้าบูทเพื่อทหารของเยอรมัน

และRudi ถูกเรียกตัวให้ร่วมรบกับกองทัพเยอรมันด้วย และเขาก็ถูกทหารของ Allied จับในฐานะนัก-โ-ท-ษส-งคร-าม เขาต้องใช้ชีวิตเป็นนักโทษส-ง-ค-ร-า-มอยู่ในค่ายทหารถึง 1 ปี หลังส-ง-ค-ร-ามจบเขาก็ได้กลับมาที่ โรงงาน แดสเลอร์ ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

บ้างก็ว่า Rudi โก-ร-ธเรื่องแฟนสาวของตน มีใจให้พี่ ชาย บ้างก็ว่า เพราะพี่ชายไม่ไปเจรจาต่อรองเพื่อขอแลกนั-กโ-ท-ษ บ้างก็ว่า อาจเป็นเพราะบริษัทเติบโตเร็วและไปได้ดีเกินไป จนการจัดสรรผลประโยชน์กลายเป็นข้อขั-ดแ-ย้งระหว่างสองพี่น้องตรงนี้มีหลายกระแส แต่แล้ว

ในปี 1948 รูดอล์ฟ ดาสส์เลอร์ ตัดสินใจแยกตัวออกมาตั้งบริษัทใหม่เองบริษัทของ Rudi แต่เดิมเรียกว่า Ruda แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็น Puma เพื่อให้ฟังแล้ว แข๊งแกร่ง น่าเกรงขาม และตั้งชื่อบริษัท “พูม่า อาเก รูดอล์ฟดาสส์เลอร์ สปอร์ต” ซึ่งเป็นผู้ผลิตรองเท้าและอุปกรณ์กีฬายี่ห้อพูม่า ในเวลาต่อมา

ในขณะที่ Adi ใช้ชื่อ Adidas โดยการรวมชื่อกับนามสกุลของเขา [Adi+Dassler=Adidas]โดยใช้ลักษณะเฉพาะของแถบ 3 แถบเป็นโลโก้ โดยเพิ่มเข้าไปอีก 1 แถบจากโลโก้เดิมของ Dassler ซึ่งความบาดหมางนี้ กลายเป็นทางแยกของพี่น้อง ตลอดกาล

ต่างคนต่างไป Rudolf ก็หันไปสร้างแบรนด์ Pumaส่วน Adolf ทำแบรนด์ Adidasในตลาดเดียวกัน ย่อมหนีกันไม่พ้นทั้ง 2 บริษัทต่อสู้กันอย่างดุเดือด(ในฐานคู่แข่งธุรกิจ)ทั้ง 2 บริษัทมีทีมฟุตบอลเป็นของตัวเอง ตามที่ได้รู้มา กลุ่มคนงานของ
ทั้ง 2 บริษัทจะดื่มเบียร์ต่างกันและให้ลูกหลานเรียนกันคนละที่ เป็นเรื่องที่น่าเศ-ร้-าที่ 2 พี่น้องไม่เคยที่จะคืนดีกัน

ข้อโต้แย้ง(และคำพูด)ของพวกเขาจะถูกแลกเปลี่ยนกันเฉพาะในชั้นศาลเท่านั้น มีคนลือกระทั่ง ฝ่ายน้องชายให้ทนายถามสารทุกข์สุขดิบของ ญาติคนนึง ที่อาศัยอยู่กับ อาดิ ดาสเลอร์ ผ่านทางศาล ด้วยซ้ำแต่ทั้ง 2 บริษัทกลับประสบความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อในแง่ธุรกิจ

ในเวลาต่อมาต่อมาRudolf เสียชีวิตลูกชายสานงานต่อ แต่กิจการย่ำแย่ลง เมื่อขาดเสาหลัก นาย Bernard Tapie ก็ซื้อกิจการไปและมีการข-า-ยให้ธนาคารและเปลี่ยนมือพอสมควร จนกระทั่ง กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ จากการควบรวมกิจการกับบริษัท ผลิตเสื้อผ้าสกี และ การคิดค้นรองเท้ารุ่นใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง

แต่ทั้ง 2 ไม่เคยยอมให้กันPUMA ทำการตลาดครั้งใหญ่ โดยเน้นที่ “ไข่มุกดำ” เปเล่ ของบราซิล ที่เคยใส่รองเท้า พูม่า ลงในนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 1970 มาทำการตลาดประกาศศักดาความยิ่งใหญ่อาดิดาส สวนกลับทันที ให้ มาร์ค สปิตซ์ ยอดนักว่ายน้ำอะเมริกัน ถือรองเท้าอาดิดาส รุ่น Gazelles ในพิธีรับเหรียญทองโอลิมปิก ปี 1972

และทั้งคู่ ก็ยังดำเนินสงคราม ทั้งสิทธิการฟ้อ-งร้-อ-ง การลอกเลียนแบบ ควา-ม-โ-ก-ร-ธแ-ค้-นและอื่นๆ ต่อมายาวนาน กว่าซึ่ง ความบ-า-ดหม-า-งยาวนานเพิ่งสิ้นสุดลงเมื่อ ปี 2009CEO และผู้ถือหุ้น ของทั้ง 2 บริษัทซึ่ง ความบ-า-ดหม-างยาวนานเพิ่งสิ้นสุดลงเมื่อ ปี 2009
CEO และผู้ถือหุ้น ของทั้ง 2 บริษัทซีตซ์ CEO ของ อาดิดาสกล่าวกับนักข่าวว่า”พี่น้อง 2 คนไม่ยอมคุยกันจนกระทั่งจากโลกไปและ เรื่องนี้ถือว่าโชคร้ายมาก เราเป็นบริษัทมหาชน และ เรามุ่งเน้นในธุรกิจของเราเองเป็นส่วนใหญ่แต่ตอนนี้ไอเดียคือรวมกัน และ เล่นฟุตบอลด้วยกันในนามของสันติภาพ”

ปัจจุบันจากรองเท้าและอุปกรณ์กีฬา พูม่าแตกไลน์มาผลิตเสื้อผ้า และกลายเป็นยี่ห้อที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในแวดวงดนตรีฮิปฮอปและการทำกราฟฟิตี ทั้งในและนอกสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970-1980 และยังคงความนิยมไม่เสื่อมคลายจนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบันพูม่ามีพนักงานทั้งหมดประมาณ 3,910 คน และมีสินค้าวางจำหน่ายมากกว่า 80 ประเทศทั่วโลกและยังผลิตสินค้าด้วยการว่าจ้างโรงงานใน 30 ประเทศเป็นผู้ผลิตสินค้าให้ ซึ่งในปีงบประมาณ 2004พูม่ามีรายได้ทั้งหมด 1,530.3 ล้านยูโร

แต่เมื่อนำไปเทียบกับบริษัทผู้พี่อย่างอาดิดาส(ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น อาดิดาส-ซาโลมอน เอจี หลังจากได้เข้าร่วมกิจการกับกลุ่มซาโลมอนซึ่งเป็นผู้นำด้านเครื่องแต่งกายกีฬาของฝรั่งเศส ตั้งแต่เมื่อปี 1997)ก็จะเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน เนื่องจาก ในปีงบประมาณ 2003อาดิดาสมีพนักงานทั้งหมด 15,686 คน และมีรายได้ถึง 6,267 ล้านยูโร แถมยังเป็นผู้ผลิตรองเท้าและเครื่องแต่งกายกีฬาที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียง ไนกี้ เท่านั้นเอาละครับ จบเพียงเท่านี้

ถ้าเทียบกับภาษิตไทย ก็คงเรียกได้ว่า ทั้ง 2 คน บาดหมางกันแบบว่า “ไม่เผาผีกันเลย” ทีเดียวซึ่ง แรงแค้นระหว่างพี่น้องนี้ กลับเป็นตัวพลักดัน ให้เกิดการแข่งขัน บนพื้นฐาน การสร้าง “รองเท้า”ที่ดีที่สุด ฮิตที่สุด โดยมีเป้าหมายเดียวกันในใจของผู้สร้างทั้ง 2
“ชั้นไม่ยอมแพ้แกหรอก”

ซึ่งผลกระทบจากการโกรธกันของคู่นี้ ทำให้โลกได้พบกับ รองเท้ามากมายหลายรุ่น ที่มีจุดกำเนิดภายใต้นโยบายและวิสัยทัศน์จาก พี่น้องทั้ง 2 มาจนปัจจุบันนี้ จ ญ น ห อ ดมเรียบเรียง เครดิตจาก WIKI http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9480000145252 บทความต้นกำเนิดยี่ห้อต่าง หน้า ต้นกำเนิด พูม่า และ หน้า ต้นกำเนิด อาดิดาส ภาพจากกูเกิ้ล

Related Posts

เปิดบ้านแสนสุข “ติ๊ก กลิ่นสี” กับของสะสมที่รักมาก 

เปิดบ้านแสนสุข “ติ๊ก …

“มาดามแป้ง นวลพรรณ” เปิดคฤหาสน์สุดใหญ่โตโอ่อ่า อลังการ

“มาดามแป้ง นวลพรรณ&#8…

ส่องบ้าน! “บัวขาว บัญชาเมฆ” ยอดมวยไทยที่เชียงใหม่ (ภาพ)

ส่องบ้าน! “บัวขาว บัญ…

“ซานิ” กับของสะสมของเธอมีเยอะมากใส่ยังไงก็ไหว

“ซานิ” กับของสะ…

เปิดบ้านขุมทรัพย์ “พีช อีท แหลก” เจ้าพ่อแห่งวงการ “การกิน”

เปิดบ้านขุมทรัพย์ “พี…

เปิดบ้าน “หมอปลาย พรายกระซิบ” ฮวงจุ้ยตัดเต็ม

เปิดบ้าน “หมอปลาย พรา…